วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สรุปบทเรียนรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ วันเสาร์ที่ 24 เดือนตุลาคม 2558

ประวัติโรงเรียนพรชัยวิชชาลัย
     โรงเรียนพรชัยวิชชาลัย  เป็นโรงเรียนประเภทสามัญศึกษา รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 โรงเรียนได้รับอนุญาตให้เปิดสอนในระดับประถมศึกษา เมื่อวันที่  15   กุมภาพันธ์  2556 รับเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่   1  ถึงประถมศึกษาปีที่  6  ประเภทไปกลับ  เปิดปีแรกมีนักเรียนย้ายเข้าเรียนจากระดับชั้นประถมศึกษาปีที่  1-6  ทั้งหมด  355 คน  และในปีการศึกษา  2558  เปิดทำการสอนระดับชั้นอนุบาล   ปีที่ 1-3 และ  ในปีการศึกษา  2559  จะเปิดทำการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โดยมี  นายพรชัย  มูลมี เป็นผู้รับใบอนุญาต/ผู้จัดการ/ผู้อำนวยการ
   
ปรัชญาการศึกษาของโรงเรียน         :    การศึกษาเป็นการพัฒนาชีวิต  ชีวิตจะมีการพัฒนา  การศึกษาเป็นปัจจัย
สีประจำโรงเรียน                                :    สีฟ้า – เทา
คติพจน์ของโรงเรียน                          :    เรียนดี  มีวินัย  ใฝ่คุณธรรม  เป็นผู้นำอาเซียน
โรงเรียนพรชัยวิชชาลัยอักษรย่อว่า  พช
ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ  : PORNCHAIRITCHALAI   อักษรย่อว่า  PC
สถานที่ตั้ง
 เลขที่  118  หมู่  11  บ้านภูเงิน  ตำบลนิคมห้วยผึ้ง  อำเภอห้วยผึ้ง  จังหวัดกาฬสินธุ์   บนเนื้อที่   6  ไร่        รหัสไปรษณีย์  46240  โทรศัพท์  043840832 มือถือ  081-4991469  โทรสาร 043840831
E-mail address        krupe@hotmail.co.th        Website  :  www.pctutorkrupc.com


เหตุผลที่ศึกษาโรงเรียนนี้
                เนื่องจากโรงเรียนพรชัยวิชชาลัยเป็นโรงเรียนที่พึ่งทำการเปิดใหม่และเป็นโรงเรียนที่เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และเป็นโรงเรียนเอกชน ที่รับนักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยวิธีการรับสมัคร ไม่ได้ทำการสอบคัดเลือกเข้ามาเรียนเหมือนโรงเรียนอื่นๆ จึงมีนักเรียนที่มาจากหลายครอบครัว มีทั้งเด็กเก่ง  เด็กปานกลาง เด็กอ่อน มาอยู่รวมกัน สิ่งที่น่าสนใจของโรงเรียนก็คือ โรงเรียนจะเน้นด้านวิชาการเป็นสำคัญและส่งนักเรียนไปแข่งขันทางวิชาการจนได้รับรางวัลมากมาย แต่ก็จะมีเด็กบางส่วนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ทางโรงเรียนก็มาพิจารณาว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่  ระหว่างตัวเด็กนักเรียนที่ขาดความสนใจเรียนลงไป อันเนื่องมาจากสื่อและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ครูผู้สอนในระดับประถมศึกษาที่ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการสอนภาษาไทย ทำให้สอนไม่เป็น ขาดหลักการ ขาดกลวิธีการสอนอ่าน ไม่สนใจสอน ปล่อยปละละเลย โรงเรียนไม่มีระบบรองรับที่จะช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาเฉพาะ สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย ที่มีลักษณะยัดเยียดความรู้ปลีกย่อยที่ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก หรือจะอยู่ที่ผู้ปกครอง ที่ไม่ได้ใช้เวลาที่บ้านพัฒนาด้านการอ่านหรือเขียน ไม่จัดหาหนังสือ หรือส่งเสริมการอ่านของบุตรหลาน จากนั้นทางโรงเรียนจึงทำโครงการขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้เด็กส่วนนี้อ่านออกเขียนได้ และเพื่อทดสอบความรู้ความสามารถของผู้เรียนทางโรงเรียนจึงให้เด็กไปสอบแข่งขันทางวิชาการยังสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เด็กได้ทดสอบความรู้และทำให้เด็กเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนมากยิ่งขึ้น
4. ผลสำเร็จปัญหาในการจัดการเรียนการสอน
                ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้  ซึ่งเป็นปัญหาที่ทางโรงเรียนจะต้องให้ความสนใจและหาวิธีแก้ไขโดยเร่งด่วน ดังนี้
                1. มีการทดสอบความรู้ของนักเรียนที่มาสมัครเรียนเพื่อจัดแยกห้องเรียนตามศักยภาพ
                 เป็นการจัดนักเรียนทั้งระดับชั้น ให้เข้าห้องเรียนใหม่ตามศักยภาพหรือความสามารถทางภาษาของตนเอง  โดยที่ครูผู้สอนจะต้องเตรียมการสอนในกลุ่มการเรียนรู้ที่มีความสอดคล้องกับศักยภาพของเด็กด้วย  ซึ่งในห้องที่นักเรียนอ่านไม่ออก หรือเขียนไม่ได้ หรือห้องที่มีความสามารถต่ำสุดนั้น โรงเรียนจะจัดครูเข้าช่วยพัฒนานักเรียนได้มากกว่า 1 คน หรือใช้ครูที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของการสอนให้อ่านออกเขียนได้เข้ามา โดยใช้วิธีสอนและสื่อการสอนที่เข้มข้นมากกว่าชั้นเรียนอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือและพัฒนานักเรียนกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ
                ผลที่ได้ คือ ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน เพราะการเรียนส่วนใหญ่ผู้เรียนจะแข่งกันเรียนจึงทำให้ผู้เรียนขยันที่จะใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มากยิ่งขึ้น เนื่องจากกลัวเรียนไม่ทันเพื่อน

2. สื่อและวัสดุการเรียนรู้ 
                หนังสือเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการใช้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนา การอ่านออกเขียนได้ ทางโรงเรียนจึงได้จัดหาสื่อการเรียนการสอน จำพวกหนังสือส่งเสริมการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นนิทาน เรื่องสั้น หนังสือสำหรับเด็กที่มีรูปภาพประกอบสวยงามน่าอ่าน เพื่อมาจูงใจให้นักเรียนสนใจ การอ่านเพิ่มเติมด้วย และจัดให้มีมุมหนังสือภายในห้อง หรือทุก ๆ ที่ในโรงเรียน เช่น จัดสถานที่บริเวณที่นักเรียนรอผู้ปกครองมารับให้มีมุมหนังสือสำหรับอ่านรอ นอกจากนี้ ยังจัดทำแบบฝึก เพื่อฝึกหัดให้นักเรียนเขียนและอ่านอย่างเป็นระบบ ไล่ลำดับตามความยากง่าย ซึ่งโรงเรียนก็ได้จัดทำขึ้นเองตามบริบท ของโรงเรียน เพราะปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในแต่ละห้องนั้นแตกต่างกัน
                 ผลที่ได้ คือ  เมื่อโรงเรียนมีการเลือกสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับตัวผู้เรียนและมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา จึงทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิดและมีความรู้มากยิ่งขึ้น
                3. การจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศ
                นักเรียนจะอ่านออกและเขียนได้ เมื่ออยู่ในโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนรู้หนังสือ (literacy school) ทางผู้บริหารและคณะครูจึงได้จัดบรรยากาศแวดล้อมภายในโรงเรียนให้เต็มไปด้วยสิ่งที่ให้นักเรียนอ่าน เขียน คิด อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีป้ายนิเทศ แจ้งข้อมูล ข่าวสาร นำเสนอผลงานนักเรียน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนโดยตลอด มีมุมหรือมีฝาผนังที่เหมาะแก่การจัดวางเอกสาร มีแท่นหรือโต๊ะสำหรับวางหนังสือประเภทต่าง ๆ ให้นักเรียนเลือกอ่านได้อย่างอิสระ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น กิจกรรมห้องสมุด กิจกรรมประกวดการอ่าน กิจกรรมประกวดการเขียน กิจกรรมเลือกหนังสือ กิจกรรมเล่านิทาน กิจกรรมแต่งเรื่องจากภาพสัปดาห์ละครั้ง  กิจกรรมพูดรายงานหน้าเสาธง รายงานหน้าห้องเรียน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนอ่านและเขียนได้อย่างอิสระโดยตลอดเวลา เพื่อให้นักเรียนเกิดความคุ้นเคย เห็นว่าการอ่านและการเขียนเป็นกิจกรรมหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย และรู้สึกว่าเรื่องการอ่านและเขียนเป็นเรื่องที่ดูวิชาการ หนัก หรือยากเกินไปสำหรับพวกเขา
                ผลที่ได้ คือ เมื่อบรรยากาศในโรงเรียนเต็มไปด้วยสิ่งที่นำไปสู่การพัฒนา การเรียนรู้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่จะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกอ่าน ฝึกเขียน นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ก็จะนำไปสู่การพัฒนาที่ทำให้ผู้เรียน อ่านออก เขียนได้มากขึ้น
                4. จัดทำแผนงานโครงการเป็น ๒ โครงการสำคัญ คือ
                                1. โครงการป้องกันปัญหา
โครงการนี้จะต้องจัดทำอย่างจริงจังและถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาแบบยั่งยืนที่ชั้น อนุบาล และชั้น ป.๑ นั่นก็คือ
                                                (1) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับอนุบาลด้วยการเตรียมความพร้อมด้านทักษะภาษาก่อนขึ้น ป.1 ดังนี้
-เปล่งคำและเปล่งเสียงพูดชัดเจนทุกเสียงอักขระในถ้อยคำต่างๆ ไม่น้อยกว่าระดับชั้นอนุบาลละ 5,000 คำ
(รวมทั้งเปล่งเสียงท่องบทอาขยาน ร้องเพลง และพูดสื่อสารถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ, ฟังนิทาน เรื่องเล่า และพูดถามตอบได้ชัดเจนตามเสียงอักขระและเสียงคำควบกล้ำ)
-เปล่งเสียงท่องพยัญชนะ ก - ฮ และสระทั้ง 32 สระ ได้ถูกฐานเสียงจนเกิดทักษะจดจำได้
-มีพัฒนาการการจับดินสอ ปรับระยะสายตา เขียนเส้นลีลาต่างๆ และวาดรูปอย่างมีทักษะทิศทางเส้นสมบูรณ์ก่อนการเขียนตัวอักษร
-สามารถเขียนพยัญชนะ ก - ฮ สระทั้ง 32 สระ วรรณยุกต์ทั้ง 4 รูป และตัวเลข 0 - 9
ฝึกเตรียมทักษะด้านภาษาเพียงเท่านี้ให้ได้อย่างครบถ้วนแท้จริง โดยไม่ต้องฝึกอ่านและเขียนคำ เพราะขั้นตอนการฝึกอ่านและเขียนคำเป็นหน้าที่ของครู ป.1 การเร่งฝึกอ่านเขียนก่อนวัยอันสมควร จะเป็นโทษแก่เด็กมากกว่าเป็นผลดี ซ้ำยังทำให้ครูอนุบาลไม่มีเวลาฝึกเตรียมทักษะพื้นฐานข้างต้นให้สมบูรณ์เพียง พออีกด้วย
                                                (2) จัดการเรียนการสอนภาษาไทย ป.1 เพื่อการอ่านออกเขียนได้อย่างมีมาตรฐาน ดังนี้
-ครูจัดทำชาร์ตแบบฝึกอ่านเขียนที่ถูกต้องและมีมาตรฐานตามหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว
-ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบันไดทักษะ 4 ขั้นวันละ 2 ชั่วโมง
-นักเรียนมี สมุดคัดลายมือที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่อง
-นักเรียนมี สมุดเขียนตามคำบอกที่แสดงผลการเรียนต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับสมุดคัดลายมือ และแสดงผลการแก้ไขปรับปรุงอย่างมีพัฒนาการ
-ครูมีบัญชีแสดงการมาเรียนของนักเรียน
-เมื่อสอนครบเนื้อหาหลักสูตรได้มีการทดสอบ เขียนตามคำบอกด้วยคำมาตรฐาน 50 คำและแสดงหลักฐานได้อย่างเป็นระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
                                2. โครงการเฉพาะกิจแก้ปัญหาเร่งด่วนที่ชั้น ป.2 ขึ้นไป
เนื่องจากเด็กที่เลื่อนชั้นจาก ป.1 มาอยู่ในชั้นเรียนต่างๆ ขณะนี้จำนวนมากยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจัดทำโครงการแก้ปัญหาเฉพาะกิจเร่งด่วน ดังนี้
                                                (1) สำรวจสภาพปัญหาด้วยการให้เด็กชั้น ป.2 ขึ้นไปเขียนตามคำบอกจากคำทดสอบ 50 คำ โดยที่คำทดสอบนี้มีมาตรฐานพื้นทักษะระดับชั้น ป.1 ซึ่งมีค่าความยากง่ายเฉลี่ยองค์ประกอบของคำครอบคลุม
-คำที่มีพยัญชนะต้นอักษรสามหมู่
-คำที่สะกดตรงมาตราทั้ง 9 แม่
-คำที่ประสมสระไม่น้อยกว่า 20 สระขึ้นไป
-คำควบกล้ำและคำอักษรนำ
-คำผันเสียงวรรณยุกต์ทั้งสามหมู่อักษร
ชุดคำทดสอบ 50 คำ มีให้เลือกในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว จำนวน ๒ ชุด อาจออกคำทดสอบเพิ่มเติมจากหลักการมาตรฐานดังกล่าวได้อีกตามที่เห็นเหมาะสม
นักเรียนที่ได้คะแนนไม่ถึง 25 คะแนนให้คัดจำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ เข้าสู่โครงการแก้ปัญหา
                                                (2) จำแนกเด็กเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละไม่เกิน 20 คน โดยพิจารณาให้เด็กเรียนช้าอยู่กับช้า เด็กเรียนเร็วอยู่กับเร็ว รวมทั้งดูวัยให้ใกล้เคียงกัน และดูคะแนนความสามารถที่ใกล้เคียงกันให้อยู่กลุ่มเดียวกันด้วย
                                                (3) จัดให้มีครูเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนเพื่อการแก้ปัญหาเป็นการ เฉพาะ ครูคนหนึ่งจะรับผิดชอบเด็กได้ไม่เกิน 4 กลุ่ม หรือไม่เกิน 80 คน
                                                (4) ครูอาสาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มละ 1 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น ถ้ามีเด็ก 4 กลุ่มก็จะต้องสอนวันละ 4 รอบ รอบละ 1 กลุ่มต่อ 1 ชั่วโมง ดังนั้น ครูอาสาที่รับผิดชอบสอนวันละ 4 กลุ่ม ควรจะต้องว่างจากภารกิจอื่นอย่างสิ้นเชิง เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาเพื่อกิจกรรมการสอนแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
                                                (5) ครูเขียนชาร์ตประกอบการสอนตามแบบฝึกในหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ดำเนินการสอนไปตามลำดับเนื้อหาอย่างครบถ้วน โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบบันไดทักษะ ๔ ขั้นทุกชั่วโมง คือ
                ขั้นที่หนึ่ง แจกลูก ให้ผูกจำ
                ขั้นที่สอง อ่านคำ ย้ำวิถี
                ขั้นที่สาม คัดลายมือ ซ้ำอีกที
                ขั้นที่สี่ เขียนคำบอก ทุกชั่วโมง
                                                (6) ครูดำเนินการสอนแก้ปัญหาไปจนครบถ้วนเนื้อหาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ากลุ่มละ 90 ชั่วโมง หรือไม่น้อยกว่า 4 เดือน หรืออาจเกินกว่าเวลาที่กำหนดนี้ก็ได้ ทั้งนี้ให้ถือเอาความมีสัมฤทธิผลของทักษะของเด็กแต่ละกลุ่มและแต่ละคนเป็น สำคัญ
                                                (7) เมื่อสอนครบตามเนื้อหาให้ครูนำคำทดสอบ 50 คำใช้ครั้งแรกก่อนเข้าโครงการมาทดสอบให้เด็กเขียนตามคำบอกอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการและผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปัญหา (โดยทั่วไป ถ้าครูอาสาดำเนินการอย่างครบถ้วนตามเนื้อหาแบบฝึก กระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคแทรกซ้อน จะได้ผล 100%)
                                                (8) จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเสนอผู้บริหารให้ทราบ
                ผลที่ได้ คือ หลังจากที่ทางโรงเรียนได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมาปรากฏว่านักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น สามารถเขียนตามคำบอกได้ และอ่านออกเสียงได้ชัดเจน
5. ขั้นตอนในการดำเนินงาน
                1. สมาชิกแต่ละคนเสนอปัญหาที่พบในการเรียนการสอนของโรงเรียนแต่ละคน
                                1. มีสื่อหรือสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการยั่วยุไปในทางที่ผิดๆ
                                2. ปัญหาทางด้านครอบครัว
                                3. นักเรียนขาดทักษะกระบวนการ ( ขาดการคิดวิเคราะห์  สังเคราะห์ )                               
                                4. นักเรียนอ่านไม่ออก  เขียนไม่ได้
                                5. การขาดสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย
                                6. การขาดเทคโนโลยีทางด้านการศึกษา
                2. สมาชิกแต่ละคนช่วยกันเลือกปัญหาที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในการจัดการเรียนการสอนและเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ปัญหาที่เลือก
                ในการจัดการเรียนการสอน พบปัญหา คือ  นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของโรงเรียนพรชัยวิชชาลัย
                3. วางแผนการปฏิบัติงานโดยแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกแต่ละคนทำ
                4. สมาชิกทุกคนลงพื้นที่เพื่อสำรวจ ศึกษาหาข้อมูล รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมที่โรงเรียนพรชัยวิชชาลัย
                5. สัมภาษณ์ ผอ. เก็บข้อมูล
                6. รวบรวมข้อมูล
                7. วิเคราะห์ข้อมูล
                8. จัดทำเอกสาร
                9. สรุปผลการดำเนินงาน
6. ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดในการดำเนินงาน
                1.เวลาว่างของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มไม่ค่อยตรงกัน
                2.บ้านของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอยู่ไกลกันจึงทำให้การปรึกษาหารือเรื่องการทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก
                3.การเดินทางค่อนข้างลำบากเนื่องจากโรงเรียนมีระยะทางที่ค่อนข้างไกล
                4.เนื่องจาก ผอ. มีภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้มีเวลาในการสัมภาษณ์น้อยและเร่งรีบ
               
7. แผนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้การพัฒนาการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
                เพื่อรองรับกับการเรียนการสอน ทางโรงเรียนจึงมีแผนที่จะพัฒนาสื่อโดยการจัดทำเป็น สื่อ CAI Replay   ก็คือ ในการจัดการเรียนการสอน แต่ละวิชา แต่ละเนื้อหาที่สอน ครูผู้สอนจะต้องมีการบันทึกจัดทำเป็นวิดีโอขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักเรียนบางคนที่ยังไม่เข้าใจในเนื้อหาหรือเรียนไม่ทันเพื่อน สามารถเข้าไปดูสื่อตัวนี้ได้ที่เว็ปไซต์ของโรงเรียน โดยเป็นการประหยัดเวลาตรงที่ครูผู้สอนจะได้ไม่ต้องกลับมาสอนเนื้อหาตรงนี้ซ้ำไปซ้ำมาและยังเป็นการสอนให้นักเรียนรู้จักศึกษาหาความรู้ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น